กาลครั้งหนึ่ง…กับการเดินทางไปหาเจ้าตัวอ้วนมีหูสีเทาและผองเพื่อน

บทความและภาพประกอบ โดย  Dok Talom

ใครเลยจะรู้ว่าวันหนึ่งโลกเราจะเกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันขึ้น เรื่องที่ทำให้การเดินทางออกนอกประเทศเป็นเรื่องที่ยาก (นอกจากปัจจัยทางการเงิน) นั่นก็คือการเกิดโรคระบาดที่ยาวนานจนเข้าปีที่ 3 แล้ว แม้แต่การเดินทางออกนอกบ้านหรือไปต่างจังหวัดทุกวันนี้ยังเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบากเพราะต้องคอยสวมหน้ากากกันแทบตลอดเวลา ไหนจะมาตรการต่าง ๆ ทำให้บางคนอย่างฉันเลือกที่จะปลูกต้นไม้อยู่กับบ้านมากกว่าออกไปถ้าไม่มีเหตุและธุระจำเป็นจริง ๆ สถานการณ์นี้เองทำให้ห่างไกลกับคำว่าออกเดินทางท่องเที่ยวไปทุกวัน ๆ ก็หวังว่าสักว่าเจ้าโรคนี้จะหายไปหรือมีวิธีการที่จะอยู่กับมันโดยไม่มีการสูญเสียอะไรไปกันมากกว่านี้

Advertisement

ก่อนหน้าที่จะเกิดโรคระบาด โควิด-19 ไม่กี่เดือนในช่วงเดือนเมษายนของปี 2019 ฉันได้เก็บกระเป๋าแบ็คแพ็คไปประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลา 10 วัน ถือว่าเป็นการเดินทางไกลครั้งสุดท้ายและท้ายสุด เพราะไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เดินทางไกล ๆ แบบนี้อีกเมื่อไหร่ (T_T)  ครั้งนี้ จึงอยากพาทุกท่านร่วมย้อนวันวานไปด้วยกันให้คลายความคิดถึง ญี่ปุ่น ประเทศที่ทำให้เราไปครั้งเดียวไม่เคยพอจริง ๆ

ถ้าจะให้เล่าเรื่องที่ประทับใจในญี่ปุ่นเรื่องแรก ก็ขอยกให้ที่นี่เลยค่า Ghibli museum สถานที่ที่จะทำให้เรากลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง และด้วยฉันเป็นติ่งของการ์ตูนค่ายนี้จึงมีความฝันว่าอยากจะไปเยือนสักครั้งหนึ่งในชีวิต เมื่อมีโอกาสได้ไปประเทศญี่ปุ่น “Ghibli museum” จึงกลายเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ต้องไปเยือน

แต่กว่าจะได้ไปก็ต้องผ่านด่านหิน ในการจองตั๋วอยู่ไม่น้อย เพราะไม่ใช่ว่าอยู่ๆ เราจะ Walk in เข้าไปได้เลย เพราะจะต้องมีการจองตั๋วล่วงหน้าเป็นปี ๆ หรืออาจเสี่ยงดวงไปซื้อตามตู้ขายตั๋วที่ญี่ปุ่น ซึ่งวิธีนี้ไม่แนะนำเพราะอาจไม่มีวันและเวลาที่เราไป การจองตั๋วล่วงหน้าในเวลานั้นถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเรา (รายละเอียดการจองตั๋วขออนุญาตไม่พูดถึงนะ เพราะลืมเลือนไปบ้างแล้ว แนะนำว่าถ้าประเทศญี่ปุ่นเปิดให้เข้าเมื่อไรลองหาข้อมูลกันอีกทีน้า) ยังจำความรู้สึกที่จองตั๋วได้ ณ ตอนนั้นน่าจะคล้ายคนถูกหวยเลยล่ะ ดีใจสุดๆ ไปเลยค่า (>.<) ตอนจองเราจะได้เป็นจดหมายยืนยันการจองต้องปริ้นท์เพื่อไปแลกกับตั๋วจริงที่พิพิธภัณฑ์ ค่าตั๋วผู้ใหญ่ในเวลานั้นคือ 1,000 เยน

(ตั๋วที่ระลึกจาก Ghibli museum แสนเก๋ที่จำลองภาพฟิลม์การ์ตูนเรื่องต่าง ๆ ของจิบลิ)

แล้ววันที่รอคอยก็มาถึง การเดินทางไปหาเจ้าอ้วนตัวสีเทา (Totoro) และผองเพื่อน ในวันนั้นฉันได้รอบสุดท้าย นั้นก็คือเวลา 16.00 น. แม้จะเป็นรอบสุดท้ายแต่คนก็ยังคงหนาแน่น เชื่อแล้วว่าใคร ๆ ก็ต่างหลงรักในความเป็น Ghibli เมื่อประตูแห่งจินตนาการแห่งนี้เปิดเราก็จะเจอ เจ้า Totoro มาคอยต้อนรับเราอยู่

(โทโทโร่ตัวใหญ่ที่คอยต้อนรับนักท่องเที่ยวก่อนเข้าตัวอาคาร)

เมื่อแวะทักทายเจ้าตัวอ้วนสีเทา (ถ่ายภาพ) เสร็จเราก็เดินมาเจออาคารด่านแรกก่อนเข้าสู่โลกแห่ง Ghibli  ซึ่งภายในอาคารไม่สามารถบันทึกภาพได้นะ เราต้องใช้ตาและหัวใจในการจดจำสิ่งที่อยู่ภายในนั้นล้วน ๆ เลยงานนี้ ซึ่งมันก็เป็นข้อดีเหมือนกันนะ เพราะเหมือนกับเราได้ใช้เวลาอยู่ที่นั้นจริง ๆ ไม่ต้องคอยกังวลในการกดภาพ หรือเลือกมุมสวย ๆ เพื่อให้ได้ภาพถ่าย เราได้ดื่มด่ำกับแต่ล่ะเรื่องราวที่อยู่ในนั้น ซึ่งถามว่าตอนนี้จำได้มั้ย ตอบเลยว่าเลือนลางเลยแหละ แต่รู้ว่าความสุข ณ เวลานั้น มันดีจริง ๆ

(ตัวอาคารแสนน่ารักที่เล่นสีและรูปทรงได้สนุกและสบายตาตามสไตล์ Ghibl เค้าแหละ) 

เมื่อไม่สามารถมีภาพมาเล่าได้ จึงขอเล่าเท่าที่ความทรงจำจะบอกเล่าได้ล่ะกันเนอะ จำได้ว่าเมื่อเข้าไปจะเจอโถงที่ฝาผนังตกแต่งด้วยกระจกสีและภาพวาด (เพ้นท์ผนังและเพดาน) ของเจ้า Totoro สวยงามมากเหมือนเข้าไปในดินแดนแห่งจินตนาการจริง ๆ แม้จะเก็บภาพมาไม่ได้แต่ก็ได้ภาพนั้นกลับมาเป็นที่ระลึก จากการซื้อโปสการ์ดที่มีขายในร้านค้าขายของที่ระลึกชั้นบนในนั้นด้วย ละลายทรัพย์กันไปเลยทีเดียวงานนี้

(ภาพจำลองในรูปแบบโปสการ์ดของห้องโถงที่ถูกแต่งแต้มด้วยงานวาดลายเส้นสวยจากเรื่อง Totoro)
ด้านในอาคารมีทั้งหมด 4 ชั้น มีบันไดวนและทางเชื่อมที่แสนคลาสสิกเหมือนหลุดโลกไปเลยงานนี้
(รูปทรงอาคารที่มีความเป็น Ghibli  การใช้โทนสีก็แสนสบายตา เหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในโลกการ์ตูนจริง ๆ เลย)

@เริ่มจากชั้นที่ 1 เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การทำหนังอนิเมชั่น ของสตูดิโอจิบิล ที่น่าทึ่งและเพลิดเพลินมาก ฉันล่ะอยากจะสิงอยู่ที่นี้ทั้งวัน ในชั้นนี้มีโรงภาพยนต์เล็ก ๆ ที่ใช้ฉายหนังสั้นเฉพาะที่นี้ที่เดียว ซึ่งเสียดายที่ไม่ได้เข้าไปนั่งดู เพราะแอบอยากใช้เวลาในการเดินชมให้คุ้มค่าที่สุดเพราะมีเวลาแค่ 2 ชม. เพราะเป็นรอบสุดท้ายของวัน T_Tงานนี้อดจ้า

ส่วนชั้น 2 เป็นการจำลองห้องทำงานของ Hayao Miyazaki ที่แสนคลาสสิก ดูแล้วอยากจะเป็นนั่งวาดรูปและคลุกอยู่ในมุมนั้น นอกจากนี้ก็มีการจำลองการออกแบบตัวละครแต่ละเรื่อง มีทั้งลายเส้น สีที่ใช้ และมีตัวละครต่าง ๆ มาคอยทักทาย

ชั้น 3 นี่แหละที่ละลายทรัพย์เราได้ง่าย ๆ เพราะมีร้านขายของที่ระลึกที่มีสินค้าที่แสนน่ารักทุก ๆ ชิ้นและพวกมันพร้อมกวักมือเรียกเราให้พากลับไปด้วย งานนี้ก็โดนตกไปพอประมาณตามกำลังทรัพย์ และในชั้นนั้นก็มีสิ่งที่ทำให้พวกผู้ใหญ่แอบอิจฉาเด็ก ๆ เพราะมีเจ้ารถเมย์แมวยักษ์คันใหญ่ (Catbus) จากเรื่องโทโทโร่มาให้เด็ก ๆ ได้ปีนป่ายและสัมผัสใกล้ ๆ ผู้ใหญ่อย่างเราก็ได้แต่มองตาปริบ ๆ

ชั้นสุดท้ายเป็นดานฟ้า ในชั้นนี้เราสามารถถ่ายภาพได้แล้วจ้า จึงมีภาพมาฝากกัน งานนี้เราจะได้เดินขึ้นบันไดวนแล้วไปพบกับสวนบนด่านฟ้าที่สวยงาม มีเจ้าหุ่นยนต์ตัวใหญ่จากเรื่อง Laputa, the castle in the sky ยืนคอยตอนรับและให้เราถ่ายภาพด้วย

(ตัวหุ่นยนต์ใหญ่มาก ๆ ตอนไปยืนด้วยนี้เราตัวเล็กไปเลย)
นอกจากนี้ก็มีแท่นหินสลักก้อนโต จากเรื่องเดียวกัน และมีดอกไม้สวย ๆ ให้ชมเพลิน ๆ อีกด้วย
(หินสลักจากเรื่อง Laputa,the castle in the sky) 
(ดอกไม้หน้าตาแปลก ๆ ที่เราไม่เคยเห็นในบ้านเรา น่ารักจัง)

หากใครเริ่มหิวที่นี้ก็มีคาเฟ่แสนน่ารักมาพร้อมเสริฟอีกด้วย แต่งานนี้ฉันไม่ได้เข้าไปทานเพราะเวลาไม่เหลือแล้วจ้า

(คาเฟ่แสนอบอุ่นที่คอยบริการนักท่องเที่ยว ถ้ามีโอกาสกลับไปจะต้องไปลองให้ได้เลย)

ไม่น่าเชื่อว่า 2 ชั่วโมงที่อยู่ที่นี้จะผ่านไปเร็วมาก นี่แหละนะที่เขาบอกว่าเมื่อไหร่ที่คนเรามีความสุข เวลานั้นมักผ่านไปเร็วเสมอ ถ้ามีโอกาสได้ไปอีกครั้งจะต้องเลือกรอบเช้ากว่านี้แล้วล่ะ สุดท้ายนี้ก็มีภาพบรรยากาศรอบๆ ที่สามารถเก็บภาพได้มาให้ชม และอยากจะบอกว่า ใครที่เป็นติ่งของจิบลิ ต้องไปเยื่อนกันให้ได้สักครั้งน้า เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่ดีมากที่ได้ใช้เวลาอยู่ที่นั้น และมันจะอยู่ในความทรงจำของฉันตลอดไป แล้วพบกันใหม่นะ ขอให้ความเป็นเด็กน้อยจงสถิตอยู่ในใจของพวกเราตลอดไป…

(เจ้าหุ่นยนต์ที่แสนจะอบอุ่นยืนสง่าบนด่านฟ้า รอคนรัก Ghibli  ไปถ่ายภาพด้วย)
มุมล็อคเกอร์แสนเก๋สำหรับฝากของสำหรับนักท่องเที่ยวก่อนเข้าไปในตัวอาคาร)
(รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มีอยู่ในนั้น มองข้ามไม่ได้เลยจ้า)
(ของที่ระลึกจากการเดินทาง ซึ่งส่วนหนึ่งได้ส่งต่อให้เพื่อน ๆ ที่รักในความเป็น Ghibli เหมือนกันกับฉัน)