[ชวนอ่าน] Hokkaido Summer 

ไปร่วมผจญภัยท่องทุ่งกว้างในฤดูร้อนที่เกาะฮอกไกโด กับสองวูฟเฟอร์ที่จะเปิดโลกใหม่ ๆ ให้เรารู้จักกัน

บทความ โดย Dok Talom

หนังสือฝุ่น ๆ กับคุณวันพฤหัสวันนี้ เราจะพาออกไปท่องทุ่งกว้างในเกาะทางตอนเหนือของประเทศญี่ปุ่นกัน ซึ่งที่แห่งนั้น ก็คือ “ฮอกไกโด” แต่วันนี้เราไม่ได้ไปเที่ยวกันธรรมดานะ เพราะเราจะไปสัมผัสชีวิตของผู้คนจริง ๆ ว่าคนที่นั่นเขาใช้ชีวิตกันอย่างไร ผ่านประสบการณ์ของวูฟเฟอร์ทั้งสองคน คือคุณฝน ปาลิดา พิมพะกร และคุณเฟิร์น ทักษยศ ยศมา ที่ออกเดินทางไปวูฟกันในช่วงฤดูร้อน ซึ่งบอกเลยว่าหนังสือเล่มนี้อ่านเพลินมากและฉันอ่านจบภายใน 1 วันเลยจ้า

>_<

Advertisement

เมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วทำให้ฉันเพิ่งรู้จักกับคำว่า “วูฟ” เป็นครั้งแรก ซึ่ง “วูฟ” (wwoof) เป็นคำย่อมาจากคำว่า “World Wide Opportunities on Organic Farms ” หรือ “Willing Workers on Organic Farms” ซึ่งเป็นโครงการที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนระหว่างผู้คนทั่วโลก ด้วยการเรียนรู้วิถีชีวิตในฟาร์มออร์แกนิคหรือเกษตรอินทรีย์นั่นเอง และการแลกเปลี่ยนนี่จะมี “โฮสต์” (Hostหรือ “เจ้าบ้าน” เป็นผู้เปิดรับอาสาสมัคร หรือ “วูฟเฟอร์” (WWOOFerเข้ามาช่วยทำงาน โดยวูฟเฟอร์จะได้รับความช่วยเหลือเรื่องอาหารและที่พัก คือกินอยู่ฟรี แต่ไม่มีค่าจ้างเป็นตัวเงินในการช่วยงาน โดยส่วนใหญ่วูฟจะทำงานประมาณ 4 – 6 ชั่วโมง ต่อวัน (หยุดอาทิตย์ละหนึ่งวัน) นี่ถือเป็นวิธีท่องเที่ยวแบบประหยัดแบบหนึ่ง เพราะเมื่อถึงเวลาพักสามารถออกไปสำรวจบริเวณนั้นได้อย่างอิสระ นอกจากจะได้เที่ยวแล้วยังได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ตรงจากการทำงานและได้มิตรภาพระหว่างนั้นอีกด้วย (อยากไปบ้างจัง)

(เนื้อหาภายในเล่มที่แบ่งเป็นที่ ๆ ไป บอกเลยว่าอ่านเพลินมาก ๆ)

การไป “วูฟ” ของ หนึ่งหญิงหนึ่งชายที่แทบไม่เคยรู้จักกันมาก่อน นั้นพาเราร่วมลุ้นไปกับพวกเขาเลยว่าจะผ่านเรื่องราวต่าง ๆ ไปได้อย่างไร โดยทั้งสองไปวูฟด้วยกันทั้งหมด 3 แห่ง ซึ่งแต่ล่ะแห่งก็มีเรื่องราวที่ต้องเผชิญแตกต่างกันออกไป อย่างที่แรกเป็นฟาร์มปลูกผักที่ทั้งสองต้องงัดสกิลการทำอาหารออกมาด้วย เพราะที่นี่ต้องทำอาหารกินกันเอง ทั้งยังคอยลุ้นกับการปั่นจักรยานขึ้นเนินในแต่ละครั้งที่พวกเขาออกไปท่องโลกอีก

(อาหารในแต่ล่ะมื้อที่ทั้งสองคนต้องงัดสกิลมาทำกันเลยทีเดียว)

ส่วนโฮสต์แห่งที่สองเป็นเพนชั่น ที่เปิดบริการเป็นที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว ในที่แห่งนี้เราจะได้เห็นอีกหนึ่งแง่มุมของการปรับตัวเพราะที่นั่น ทั้งสองคนต้องเผชิญกับการอยู่ร่วมกับวูฟประเทศอื่น ๆ ซึ่งมีความแตกต่างทั้งต่างภาษา ต่างวัฒนธรรมและต่างความคิด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ว่าสังคมแบบไหนเราก็ต้องเจอ อยู่ที่ว่าเราจะมีสติและรับมือกับมันอย่างไร บทนี้ค่อนข้างจะทำให้ฉันตึงเครียดไปพอสมควรเลย

(การไปพักแต่ล่ะที่แม้จะเป็นแค่ระยะเวลาสั้น ๆ แต่กลับได้มิตรภาพที่ดีกลับมาแบบบไม่รู้ลืมเลย)

ที่สุดท้ายคือฟาร์มปลูกผักอีกที่หนึ่ง โดยเจ้าของฟาร์มเป็นชายหนุ่มที่ทำงานทั้งฟาร์มคนเดียว และที่แห่งนี้เองทำให้เราเข้าใจถึงความตั้งใจและความทุ่มเทของเกษตรกรชาวญี่ปุ่น ที่ตั้งใจผลิตพืชผักผลไม้ที่มีคุณภาพออกมาให้ผู้คนได้ทาน แล้วยิ่งเป็นพืชผักที่เป็นออแกนิคแล้วด้วยนั้น ยิ่งไม่ง่ายเลย ดังนั้นจึงไม่แปลกใจว่าทำไมตอนไปเที่ยวญี่ปุ่นตัวฉันเองจึงติดอกติดใจ กะหล่ำปลี ที่เอาไว้กินคู่กับคุชิคัตสิ (ของทอดเสียบไม้ที่มีน้ำจิ้มเป็นเอกลักษณ์) 

(ผักกระหล่ำในความทรงจำ ซึ่งรสชาติของผักกะหล่ำปลีนั้นหากินที่ไทยไม่ได้เลย มันทั้งหวาน กรอบ อร่อยมาก ๆๆๆ ) 

ในบทสุดท้ายมีการแนะนำวิธีการไปวูฟว่ามีขึ้นตอนอย่างไร หากใครสนใจก็ลองไปหาข้อมูลเพิ่มเติมได้นะ และยังแนะนำมีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นเหมือนไกด์บุ๊คเล็ก ๆ ที่สามารถไปเที่ยวตามได้เลย ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงดอกไม้บาน เราจึงแอบซึมซับบรรยากาศที่คุณฝนบรรยายผ่านตัวหนังสือและภาพถ่ายไปด้วยเบา ๆ

(ชอบการถ่ายทอดเรื่องราวและภาพถ่ายในเล่มมากๆ)

พออ่านหนังสือเล่มนี้จบสิ่งที่ฉันต้องทำต่อจากนี้คือ หนึ่งไปตามเก็บหนังสือของนักเขียนท่านนี้มาให้ครบเพราะชอบวิธีการเล่าเรื่องของเธอ ทั้งสนุกและได้แง่คิดจึงขอยกให้เป็นหนึ่งในนักเขียนในดวงใจท่านหนึ่งเลย ฉันไปติดตาม IG ของเธอด้วยนะ IG:Foneko ไปติดตามเธอได้นะคะ และอีกสิ่งหนึ่งที่อยากทำคือ การไปเที่ยวฟาร์มสเตย์สักครั้งในญี่ปุ่น จริง ๆ อยากจะไปวูฟสักครั้งนะ แต่ด้วยอายุและภาษาน่าจะเป็นเรื่องยากถ้าจะไปเวลานี้ แต่การไปเที่ยวที่ฟาร์มสเตย์ดูจะมีหวังอยู่บ้าง ถ้ามีโอกาสไปเมื่อไรจะมาเล่าให้ฟังนะคะ ^_^

(หนังสือที่ตามเก็บสะสมของคุณฝน ผลิตผลงานดี ๆ มาให้เสพเยอะ ๆ นะคะ)

และสิ่งสุดท้ายที่ทำได้เลยในตอนนี้คือ เริ่มปลูกผักผลไม้กินเองนี่แหละค่ะ เพราะได้แรงบันดาลใจจากคุณซาโต้ โฮสต์หนุ่มคนสุดท้ายที่มีความฝันที่อยากจะปลูกผักเพื่อเปลี่ยนแปลงโลก เขาอยากให้โลกนี้ไม่มีความอดอยาก ให้โลกเลิกใช้เงินและสามารถแบ่งอาหารกันโดยการแบ่งปันหรือการแลกเปลี่ยนกัน ซึ่งขอชื่นชมแนวคิดนี้จริง ๆ นะ คิดดูว่าถ้าเราปลูกผักผลไม้กินเองนอกจากจะประหยัดค่าใช้จ่ายบางส่วนแล้วเรายังได้ทานอาหารที่สดสะอาดและยังปลอดสารพิษ แถมยังได้ออกกำลังกายไปในตัวอีกด้วย เมื่อทานไม่หมดก็นำที่เหลือมาแบ่งปันญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง หรือคนรู้จัก เป็นการมอบสิ่งดี ๆ ให้แก่กัน นี่น่าจะเป็นเรื่องดี ๆ เรื่องหนึ่งเลยนะในสภาวะแบบนี้ทั้งโควิดเอยเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนสักวัน อย่างน้อย ๆ เราก็มีคลังอาหารเล็ก ๆ ไว้ใกล้ตัว (ไว้จะมาเล่าเรื่องแปลงผักเล็ก ๆ ของฉันให้ฟังกันนะ) เรามาเริ่มปลูกผักกินเองกันเถอะค่ะทุกคน ^_^