Poonpun in Guilin Part 1: กุ้ยหลินสวยมาก ไปเที่ยวจีนไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่ายนะPoonpun in Guilin Part 1

กุ้ยหลินสวยมาก ไปเที่ยวจีนไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่ายนะ

กลับมาเจอกันอีกครั้งนะคะหลังจากห่างหายกันไปนานเลยจริง ๆ ซึ่งครั้งนี้ ปุณปั้นมีประสบการณ์ดี ๆ มาแบ่งปันกัน โดยเป็นเรื่องราวการเดินทางท่องเที่ยวไปที่เมือง กุ้ยหลิน (Guilin) ประเทศจีน ขอบอกเลยนะคะว่าน่าตื่นเต้นและน่าสนใจมาก ๆ เพราะพี่จีนเขามีของดีเยอะมากเลยค่ะ

กุ้ยหลิน (Guilin)

เป็นเมืองระดับเทียบเท่ากับจังหวัดในบ้านเรา ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเขตการปกครองตนเองกว่างซี หรือ ที่หลาย ๆ คนเรียกกวางสี (Guangxi) โดยเป็นเขตที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน ซึ่งของดีของเด่นของเขาก็คือ ทัศนียภาพที่สวยงามมาก ๆ ด้วยเมืองที่เต็มไปด้วยภูเขาน้อยใหญ่ รูปทรงต่าง ๆ จนได้รับคำเรียกว่าเป็น “เมืองสวรรค์บนดิน” ของจริงเลยค่ะ

เริ่มแรกต้องขออธิบายก่อนเลยคะว่า การเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศประเทศจีนก็จะมีรูปแบบคล้าย ๆ กับการไปเที่ยวประเทศอื่น ๆ คือทุกคนจะต้องมี พาสสปอร์ต มีวีซ่า และต้องมีเงิน ซึ่งสำหรับปุณปั้นนั้นโชคดีตรงที่สามีมีภารกิจต้องเดินทางไปดูงานที่ Guangxi Normal University ดังนั้นการเข้าประเทศก็ไม่ยากเท่าไหร่

Advertisement

การทำวีซ่าจีน

สำหรับปุณปั้นและครอบครัวทุกคน ต้องไปทำวีซ่าเพื่อเข้าประเทศก่อนล่วงหน้า ซึ่งหากให้ดีก็คือ ต้องดำเนินการให้เสร็จก่อนอย่างน้อย 1 เดือน ซึ่งสำหรับการขอวีซ่าจีนในประเทศไทยนั้น สามารถทำได้ที่ศูนย์ Visa จีน ที่กรุงเทพและที่เชียงใหม่เท่านั้นนะคะไม่มีที่อื่น และนี่ก็มาถึงจุดแรกที่ว่าอาจจะ “ยาก” คือ สำหรับการขอ VISA ให้ลูกค่ะ โดยทางกงสุลจะเรียกเอกสารเยอะหน่อยนะคะ เช่น สูติบัตร ทะเบียนสมรส ใบเปลี่ยนชื่อ – สกุล ซึ่งหากคนไหนต้องเดินทางไปกับเด็ก ๆ จุดนี้คงต้องเตรียมเอกสารให้พร้อมนะคะ เพราะไม่เพียงแต่จะต้องยื่นแสดงให้กงสุล แต่อาจจะส่งผลต่อการพิจารณาเข้าประเทศอีกครั้ง (ซึ่งปุณปั้นเจอปัญหามาแล้วค่ะ เดวจะเล่าให้ฟัง)

** การทำวิซ่าจีนนั้น ทุกคนสามารถทำในระบบได้ทั้งหมดนะคะ ซึ่งข้อมูลทีจะต้องกรอกนั้น ขอบอกเลยว่าเยอะมาก ๆ ถึงขนาดต้องกรอกประวัติการศึกษาตั้งแต่สมัยมัธยมเลยนะคะ งงกันไปเลย แต่พอถึงศูนย์วีซ่า (เชียงใหม่) เขาก็จะช่วยอยู่ค่ะ ซึ่งหากคนไหนต้องการความสะดวกก็จ้างบริษัทรับทำได้เลยค่ะ แต่ก็จะแพงหน่อย โดยราคาค่าใช้จ่ายการทำวีซ่าจีนสำหรับท่องเที่ยวนั้นจะอยู่ที่ 1,750 บาทต่อคนค่ะ

ข้อแนะนำการเตรียมกระเป๋า

กุ้ยหลิน เป็นเมืองที่น่าเที่ยวมาก ๆ แต่ปุณปั้นต้องขอเตือนก่อนนะคะว่า ทุกคนอาจจะต้องวางแผนการเดินทางและการเตรียมข้าวของเครื่องใช้ให้ดี เพราะถ้าเครื่องบินที่ทุกคนเลือกไว้ ไม่ได้บินตรงไปลงที่กุ้นหลิน (ซึ่งหลังโควิคยังไม่เปิดรับเครื่องบินจากนานาชาติ) ทุกคนจะต้องบินไปลงที่ หนานหนิง (Nanning) นะคะ หลังจากนั้นก็จะต้องเดินทางต่อด้วยรถไฟความเร็วสูง ซึ่งหากกระเป๋าใหญ่ก็อาจจะลำบากได้ แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะเดินทางยากหน่อย แต่เส้นทางทั้งหมดสามารถลากกระเป๋าไปได้ทุกทีคะ เพราะคนจีนที่นู้นเขาก็ทำเหมือนกัน ดังนั้น ข้อแนะนำคือ ควรเตรียมกระเป๋าที่แข็งแรง มีล้อลาก ซึ่งควรจะเป็นกระเป๋าเดินทางแบบ 4 ล้อนะคะ

ส่วนในเรื่องของเสื้อผ้า รองเท้า ก็ให้เตรียมปกติค่ะ ไม่ต้องเอาหน้าผ้าหนา ๆ มาก เพราะอากาศที่กุ้ยหลินจะคล้าย  ๆ กับที่บ้านเรา แต่รองเท้าก็ควรจะเป็นรองเท้าที่เน้นการเดินเป็นหลัก เพราะต้องเดิน เดิน และเดิน

เริ่มเดินทาง Let’s go

ปุณปั้นเริ่มเดินทางจากเชียงใหม่ ดังนั้นสิ่งที่จะต้องทำคือ การต่อเครื่องซึ่งในวันเดินทางไปจีนนั้นเป็นการเดินทางด้วยเครื่องของสายการบิน China Southern Airline ซึ่งเครื่องออกค่อนข้างเช้า ดังนั้นการต่อเครื่องเช้ามาก ๆ จากเชียงใหม่ในวันนั้นเลยจะไม่ทันแน่นอน เราจึงต้องไปพักที่ กทม 1 คืนค่ะ โดยเราก็เลือกหาโรงแรมใกล้ ๆ สนามบินสุวรรณภูมิและต้องมีรถรับส่ง ซึ่งก็ได้โรงแรม Cottage สุวรรณภูมิ ดีเลยค่ะใกล้ห้างโรบินสันหาของกินง่ายไม่ยุ่งยากแถมมีรอบรถรับส่งที่สนามเยอะมาก

เดินทางถึงสุวรรณภูมิตรงตามเวลา 8.00 ก่อนเครื่องบินแบบสบาย ๆ 3 ชั่วโมง หาของกินได้ซึ่งก็อย่างที่หลาย ๆ คนทราบว่า ราคาค่อนข้างแพงแต่ยังไงก็ต้องกินไปก่อน พอ 9.00 จุด Check – In ก็เปิดรับ และก็มาถึงความยากที่ 2 ค่ะ ปวดหัวกันเลยทีเดียว เพราะการเข้าประเทศจีนนั้น ทุกคนจะต้องแสดงสถานะว่าปลอดโรคซึ่งจะต้องใช้การสแกนเพื่อกรอกข้อมูลทั้งหมดผ่าน “WeChat” !!! เพื่อให้ได้ QR Code สำหรับสแกนเข้าด่านที่จีน นั่นไงงานเข้าทำยังไงดี ไม่เคยใช้เลยด้วยและที่สำคัญคือการสมัครจะต้องขอให้คนจีนชวนเท่านั้น ซึ่งโชคดีค่ะ เราก็ขอคนจีนที่ต่อแถวเช็คอินเรานั่นแหละค่ะชวน 

*** ทริคพิเศษสำหรับการ กรอกข้อมูลผ่าน WeChat นะคะ จริง ๆ แล้วการเข้ากรอกข้อมูลนั้นมีทางเลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น WeChat หรือกรอกผ่านเว็บไซต์ ซึ่งสำหรับปุณปั้นก็ใช้สามีเป็นคนกรอกให้สมาชิกทุกคนค่ะ แล้วกดเซฟภาพหน้าจอที่เป็น QR Code แล้วส่งให้ทุกคนเก็บไว้ เท่านี้ก็รอดมาได้คะ

เท่านั้นยังไม่หมดนะคะ ความยากที่ 3 กำลังเริ่มขึ้น

อย่างที่เราบอกนะคะว่าปุณปั้นเดินทางไปเป็นครอบครัว พร้อมกับคณะดูงานของสามี รวม ๆ แล้วก็ 15 คนซึ่งทุกคนก็เช็คอินเรียบร้อยไม่มีปัญหา ยกเว้น ปุณปั้นกับลูกชาย!!! งงสิคะ ทำไมมาเป็นที่เรา เกิดอะไรขึ้น Booking ก็มี VISA ก็มี ไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาด แต่ก็เกิดปัญหาขึ้นซึ่งจากที่เจ้าหน้าที่ดำเนินการแก้ไข คาดว่าน่าจะเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ Booking กรอกรายละเอียดแล้วชื่อเกิดไปซ้ำกันเพราะครอบครัวเรามีชื่อขึ้นต้นตัวเดียวกันทั้งหมด แล้วพอมารวมกับนามสกุลที่เป็นนามสกุลเดียวกันอีกก็เลยยิ่งงงไปกันใหญ่ ส่งผลให้เราใช้เวลาทั้งหมดร่วม 2 ชั่วโมงไปกับการรอเช็คอินค่ะ หมดกัน Duty Free / อาหารเที่ยง / ห้องน้ำก็ไม่ได้เข้า ที่สำคัญ ก่อนจะออกจากเคาน์เตอร์เช็คอิน น้องเจ้าหน้าที่ยังกระซิบบอกอีกนะคะว่า “คุณผู้โดยสารเข้าทางประตู 4 เลยนะคะ เพราะจะใกล้กับ Boarding Gate มากกว่า!!! แล้วก็วิ่งเลยนะคะ” เอาลุยสิคะ วิ่ง

*** สำหรับผู้โดยสารขาออกต่างประเทศที่เป็นคนไทย พอเข้าสู่โซนการตรวจเอกสารขาออก เรามีช่องพิเศษสำหรับผู้โดยสารที่ถือพาสปอร์ตไทยนะคะ ซึ่งแยกไปเลยค่ะไม่ต้องไปต่อแถวชาวต่างชาติ จากนั้นปุณปั้นก็วิ่งยาว ๆ ค่ะ เรียกได้ว่าสงสารลูกชายกับคุณย่าทั้ง 2 มาก ๆ เพราะกลัวจะไม่ไหวกัน แต่ท้ายที่สุดก็พาตัวเองเข้ามาอยู่ในเครื่องได้เรียบร้อย เหนื่อยเลยทีเดียว แต่ยังค่ะ ยังต้องเก็บแรงไว้ไปลุยที่จีนต่อค่ะ 5 5 5

บนเครื่อง China Southern Airline

ได้พักเหนื่อยกันแล้วนะคะ อยู่บนเครื่องแบบทันเวลา แต่เอาจริง ๆ ก็ยังมีผู้โดยสารชาวจีนอีกหลายคนมาก ๆ ค่ะที่ยังตามมา เพราะอย่างที่เราบอกว่าขั้นตอนการตรวจเอกสารขาออกนั้น คนเยอะมาก แต่ดีที่เราถือพาสปอร์ตไทยจึงได้ช่องพิเศษ สรุปแล้วเครื่องก็ออกบินค่ะเลทนิดหน่อย ประมาณ 12.00 ถึงจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.30 ชั่วโมง ถึงหนานหนิงประมาณ 15.30 ตามเวลาท้องถิ่นซึ่งจะเร็วกว่าบ้านเรา 1 ชั่วโมง ซึ่งความบันเทิงกับความเป็นจีนก็เริ่มขึ้นค่ะ เพราะแอร์โฮสเตสบนเครื่องพูดภาษาอังกฤษได้นะคะ แต่เขาพูดน้อยมาก จัดภาษาจีนรัว ๆ ซึ่งอาหารที่เราได้ก็เลยจะมีให้เลือกเพียงแค่ “Chicken or Fish” เท่านั้นเลยค่ะ ที่เหลือฟังไม่รู้เรื่องเลย 5 5 5 ก็ตามนั้นนะคะ

*** ก่อนเครื่องลงหรืออาจจะระหว่างไฟท์ แอร์โฮสเตสจะแจกเอกสารเข้าด่านตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งทุกคนจะต้องกรอกข้อมูลให้เหมือนกับที่กรอกตอนขอ VISA และที่สำคัญคือต้องเซ็นชื่อให้เหมือนในพาสปอร์ต จากนั้นก็ Welcome to China !!!

เอาเป็นว่า Part 1 นี้ขอตัดจบตรงที่การเดินทางเข้าประเทศจีนก่อนนะคะ เพราะมันเริ่มยาวแล้ว ซึ่งสำหรับ Part 2 นั้นก็จะเริ่มตั้งแต่เท้าเยียบจีนเลยนะคะ เข้า ตม. เจออะไร ต้องทำยังไง ขึ้นรถไฟ ไปกุ้ยหลินแบบไหน เราค่อยมาคุยกันต่อนะคะ สวัสดีค่ะ