วันนี้เราลองยิบยกเรื่องน่าสนใจรอบ ๆ ตัวมาพูดคุยกันสักครั้งนะคะ ซึ่งคำว่า “สายมู” ในกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าหรือคุณแม่ ๆ นั้น หลาย ๆ คนคงพอจะทราบดีอยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม วันนี้เรามีข้อมูลเกี่ยวกับที่มาที่ไป ประวัติความเป็นมา และที่สำคัญคือ มีอะไรบ้างที่เข้าข่ายสายมู วันนี้ปุณปั้นจะพาเปลี่ยนบรรยากาศ ไปดูกัน
สายมู คืออะไร
“สายมู” ประเด็นนี้คงจะเป็นข้อคำถามที่ค้างคาใจหลายท่าน ซึ่ง คำว่าสายมูนั้นมาจากคำเต็มคือ “มูแตลู” โดยเป็นคำฮิตและมีการใช้กันแพร่หลายซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับความเชื่อ เรื่องลี้ลับ ของไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ การดูไพ่ การเสริมดวงและโชคชะตา หรืออาจจะเป็นความเชื่อและการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิเพื่อให้ตนเองสมหวังและได้ในสิ่งที่มุ่งหวังนั่นเอง โดยในปัจจุบัน “สายมู” จะเป็นคำเรียกที่รวมเอาความเชื่อตามหลักศาสนา เข้ากับ ความเชื่อทางพราหมณ์ และการนับถือภูตผีเข้าไปด้วย จนความเชื่อทั้งหมดได้หลอมรวมเข้ามาอยู่ในคำเดียวกันและถูกนำไปใช้เรียกประกอบกับเป้าหมายและความต้องการด้านต่าง ๆ เช่น สายมูด้านการเงิน สายมูด้านความรัก เป็นต้น
Advertisementสายมู มาจากไหน
คำว่า “สายมู” นั้นแท้จริงแล้วมาจากคำเต็มคือ “มูเตลู” ซึ่งครั้งหนึ่งในอดีตเป็นชื่อของภาพยนต์สยองขวัญจากประเทศอินโดนีเซีย โดยมีชื่อเต็มว่า “มูเตลู ศึกไสยศาสตร์” (Penangkal IImu Teluh) ออกฉายครั้งแรกในปี ค.ศ.1979 โดยเป็นเรื่องราวที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับหญิงสาว 2 คน ที่หมายปองชายหนุ่มคนเดียวกัน ซึ่งเธอทั้งสองต่างใช้วิธีการต่าง ๆ โดยเป็นการใช้มนต์ดำ การร่ายคาถา ให้ชายคนนั้นหลงรัก ด้วยการท้องคำคาถาว่า “มูเตลู มูเตลู” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบทคำคาถานั้น ทั้งนี้ สายมู หรือคำว่า “มูเตลู” นั้นได้เข้ามามีอิทธิพลในประเทศไทยช่วงที่มีการบูชาเครื่องรางของขลังเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องรางและเครื่องประดับเสริมดวง เช่น ตะกรุด กำไลเสริมดวง หินสีมงคล ประกอบกับการนำของขลัง ของนำโชคและของเสริมดวงไปใช้โดยเหล่านักแสดง ดารา หรืออินฟลูเอนเซอร์ ทั้งหมดนั้นยิ่งเป็นประเด็นเสริมให้ สายมูและมูเตลูยิ่งเป็นที่รู้จักและมีการพูดถึงมากยิ่งขึ้นตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา
เครื่องรางสายมู มีอะไรบ้าง
ในปัจจุบันสายมูนั้น ไม่นับรวมเพียงเฉพาะเรื่องราง ของขลังเหมือนดังในอดีตอีกต่อไป เพราะด้วยเทรนด์และความนิยมที่มีความเปลี่ยนแปลงไป เป็นแรงส่งให้การใช้เครื่องประดับและเครื่องราง ของขลังนั้นมีการหลอมรวมและผสานเข้าด้วยกัน จน ณ เวลานี้เครื่องรางสายมูจึงมีมากมายและสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ ได้ ดังนี้
ปี่เซียะ
หนึ่งในวัตถุมงคลยอดนิยมที่เป็น “เทพแห่งโชคลาภ” ที่มาพร้อมกับมังกรตัวที่ 9 เครื่องรางชิ้นนี้จะเป็นการบูชาโดยมีวัตถุประสงค์ในการป้องกันสิ่งชั่วร้าย เรียกทรัพย์สินเงินทองให้ไหลเข้ามา โดยการบูชาปี่เซียะในปัจจุบันนั้น นิยมนำมาทำเป็นสร้อยข้อมือ หรือเป็นรูปปั้นขนาดเล็กเพื่อบูชาไว้ในห้องทำงาน หรือใส่ไว้ในกระเป๋า และสำหรับท่านที่เป็นสายมูไฮเทคก็อาจจะมีรูปปี่เซียะเป็นภาพหน้าจอบนโทรศัพท์มือถือได้อีกเช่นกัน
ท้าวเวสสุวรรณ
ถือเป็นหนึ่งในสิ่งศักดิ์สิทธิที่มีความนิยมและมีพกพากันมากที่สุด ทั้งนี้นอกจากกานำท่านมาเป็นเครื่องรางและของขลังแล้ว ตามวัดต่าง ๆ ก็เริ่มนิยมในการจัดสร้างรูปท้าวเวสสุวรรณ โดยการบูชาท้าวเวสสุวรรณนั้น จะช่วยส่งเสริมให้ผู้บูชาได้รับการเสริมดวงเรื่องอำนาจ บารมี ลาภยศ ชื่อเสียงและเกียรติยศซึ่งรวมการทำงานและการเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ซึ่งเรามักจะเห็นได้มากว่าเหล่า ดารา นักแสดงและคนดังมากมายต่างบูชาท้าวเวสสุวรรณ
พระพิฆเนศ
คนด้านงานศิลป์ต้องห้ามพลาด เพราะองค์พระพิฆเนศนั้นเป็นเทพเจ้าแห่งความสำเร็จ ซึ่งมีผู้คนนับถือบูชากันทั่วโลกไม่เพียงเฉพาะคนไทย เพราะการขอพรและการบูชาท่านจะช่วยเสริมให้ชีวิตมีสิริมงคล เสริมนำให้กิจการเจริญรุ่งเรือง มีปัญญาความรู้ ขอตำแหน่งหน้าที่ก็จะประสบผลสำเร็จ ด้านการเงินและความรักก็สามารถขอพรได้เช่นกัน ย่อมสมหวังดั่งใจ ทั้งนี้ตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น องค์พระพิฆเนศ เป็นเทพแห่งศิลปะวิทยาการ และเป็นสัญลักษณ์ประจำกรมศิลปากร รวมถึงเป็นเทพองค์สำคัญสำหรับการทำพิธีไหว้ครูนาฏศิลป์ การละครและควาญช้างอีกด้วย โดยการนำท่านมาบูชานั้นก็มีทั้งที่ทำเป็นรูปปั้นไว้บูชากรอบไหว้ ทำเป็นรูปหล่อคล้องสร้อย มีอีกมากที่ทำเป็นรูปภาพไว้บูชาเหมือนเทพองค์อื่น ๆ