Sound of colors : เพราะบางสิ่งอาจมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นเราจึงต้องใช้หัวใจมอง
บทความ โดย Dok Talom
หนังสือฝุ่น ๆ กับคุณวันพฤหัสฯ ไม่รู้ว่าด้วยความบังเอิญหรือพรหมลิขิต วันนี้จึงมีเรื่องมาเล่าให้ฟัง สืบเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้ว ฉันได้อ่านหนังสือ “ทำไมไทเป” ไป เลยไปกระตุกต่อมความอยากรู้จักและอยากไปไต้หวันมากขึ้นไปอีก
จนเมื่อไม่กี่วันถัดมา ฉันเลยนึกอยากหาหนังสือเกี่ยวกับไต้หวันมาอ่านเพิ่ม (เล่มเก่ายังอ่านไม่หมดเลยนะ>_<) ก็เลยไปร้านหนังสือมือสอง แล้วก็ไปพบกับเจ้าเล่มนี้เลยจ้า “ในใจ… ไกลกว่าสายตา” หรือชื่อทางการคือ “Sound of colors” หนังสือภาพในตำนานเล่มหนึ่งของคุณ Jimmy Liao นักเขียนและวาดภาพประกอบชื่อดังของไต้หวันนั้นเอง
Advertisementโดยถ้าพูดชื่อของคุณ Jimmy Liao แล้ว ในวงการนักอ่านต้องรู้จักกันดีและบางคนอาจเติบโตมาพร้อม ๆ กับลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์บวกกับการถ่ายทอดเนื้อหาที่สามารถฮีลหัวใจคนอ่านได้ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้หนังสือของคุณ jimmy เข้าไปอยู่ในหัวใจใครหลาย ๆ คน และรวมถึงตัวฉันเอง (อยากให้ลองไปหาอ่านประวัติส่วนตัวของคุณ Jimmy กัน เผื่อเป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตได้นะ)
แม้เล่มนี้อาจเป็นเล่มแรกที่ฉันได้มาครอบครองก็เถอะ เมื่อมีเล่มแรกต้องมีเล่มต่อ ๆ ไปสิเนอะ เพราะเอาเข้าจริง ๆ แล้ว ฉันเองก็รู้จักผลงานของคุณ Jimmy มานานแล้วนะตั้งแต่ตอนได้ดูภาพยนตร์เรื่อง “ผู้หญิงเลี้ยวซ้าย ผู้ชายเลี้ยวขวา” ที่ดัดแปลงมาจากหนังสือชื่อ “A Chance of Sunshine” และที่ไต้หวันมีพิพิธภัณฑ์ของคุณ Jimmy Liao ด้วยนะ เป็นสถานที่ซึ่งฉันจะต้องไปเยือนให้ได้เลย
ผลงานของคุณ jimmy Liao นั้นเป็นเหมือนกำลังใจเล็ก ๆ หรือบางคนอาจจะเป็นก้อนใหญ่ ๆ ก็แล้วแต่คนอ่านแต่ล่ะคนจะเข้าใจและตีความหมาย เพราะด้วยการนำเสนอที่ใช้คำที่เหมือนบทกวี ซึ่งอาจต้อง “ใช้ใจ” ในการอ่านกันสักหน่อย ดังนั้นหนังสือของเขาจึงไม่ใช่ทุกคนที่อ่านภายในครั้งเดียวแล้วจะเข้าใจเล่มนี้ก็เช่นกัน ตัวฉันเองก็อ่านรอบแรกแล้วแอบงง ๆ หรืออาจจะมัวแต่เพลินกับภาพประกอบที่สวยงามอยู่ก็ไม่รู้ คงต้องกลับไปอ่านอีกหลาย ๆ รอบ เพราะด้วยเป็นเหมือนหนังสือภาพที่อ่านจบภายในไม่ถึงชั่วโมง แป๊บ ๆ ก็จบโดยไม่รู้ตัวจ้า
“ในใจ…ไกลกว่าสายตา” หนังสือเล่มนี้ว่าด้วยเรื่องของเด็กหญิงตาบอดคนหนึ่ง ซึ่งเธอต้องออกเดินทางไปตามสถานีรถไฟในวันเกิดอายุครบ 15 ของเธอ ระหว่างที่เธอกำลังเดินลงสู่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินนั้น เธอไม่ได้ใช้ตาในการมอง แต่เธอต้องใช้ใจและประสาทสัมผัสส่วนอื่น ๆ แทนการมองเห็นด้วยตา ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เธอได้เห็นสิ่งที่คนตาดี ๆ ไม่เคยได้มองเห็น โดยตัวฉันเองขอเรียกมันว่า เจ้า “จินตนาการ” เพราะบางครั้งความเจ็บปวด ความสิ้นหวังของคนเรานั้น ก็ถูกเจ้าจินตนาการนี่แหละ คอยช่วยเยียวยาและตัวนักเขียนเองก็ผ่านเรื่องราวแสนเจ็บปวดนั้นมาได้ เพราะสิ่งนี้แหละ ฉันขอยกประโยคในหนังสือที่อ่านแล้วรู้สึกดีต่อใจมาให้ฟังกันนะคะ
“บางครั้ง ฉันรู้สึกว่าโลกใบนี้ช่างไร้ขอบเขต หรือบางที เราอาจจะเหมือนเจ้านกน้อยที่บินไปมาอย่างเสรี”
“บางครา ฉันรู้สึกว่าโลกใบนี้เหมือนเขาวงกตที่ไร้ซึ่งทางออก”
“ฉันพยายามจะมีความหวัง ทั้งที่หวาดหวั่นอยู่ลึก ๆ ว่าโชคของฉันอาจอยู่ใกล้ ๆ แต่ฉันกลับมองข้ามมันไป
หลายคราวฉันคิดฝันขอให้เกิดปาฏิหาริย์ เทวดาบินมาแล้วก็พาฉันบินหนีไปจากความทุกข์ทนนี้ หรือว่ามีไม้กายสิทธิ์ของนางฟ้าแตะเบา ๆ หนึ่งที แล้วทุกสิ่งก็ล้วนเป็นได้อย่างที่หวัง
เรามักต้องล้มลุกคลุกคลานเสียก่อนเสมอ จึงจะเข้าใจอะไร ๆ ได้ มีหลายเรื่องที่เราไม่อาจควบคุมมัน”
จริง ๆ มีอีกหลายประโยคที่สะกิดใจเราอีกเยอะนะ ถ้าค่อย ๆ ใช้ใจอ่าน บางทีเราอาจได้พบคำตอบที่เราเฝ้าถามมานานจากหนังสือเล่มนี้ก็ได้ ยังไงลองหามาอ่านกันนะคะ
^ ^