ปลดปล่อยใจให้เป็นอิสรภาพและทำทุก ๆ อย่างด้วยหัวใจ
บทความ โดย Dok Talom
หนังสือฝุ่น ๆ กับคุณวันพฤหัสฯ วันนี้จะชวนเพื่อน ๆ นักอ่าน ไปทำความรู้จักกับขนมแสนโปรดของเจ้าโดราเอมอน แมวน้อยตัวสีฟ้าอ้วนกลม ตัวการ์ตูนสุดโปรดของใครหลายๆ คน รวมถึงฉันด้วยเพราะโตมากับการ์ตูนเรื่องนี้เลย และนั่นเองที่ทำให้ฉันรู้จักกับขนมโดรายากิมาตั้งแต่จำความได้ แต่ในเวลานั้น เจ้าขนมนี้กลับไม่มีให้ได้ลิ้มลอง จนมาได้สัมผัสรสชาติก็ตอนโตขึ้นมาหน่อยนี่แหละ แต่… มันก็ไม่ได้อร่อยจนถึงขั้นต้องคลั่งไคล้เหมือนเจ้าโดราเอมอนสักหน่อย 55+ หรือว่าขนมที่เราได้กินครั้งแรกในตอนนั้นมันอาจไม่ได้อร่อยหรือตรงตามต้นฉบับญี่ปุ่นจริง ๆ ก็ได้นี่เนอะ
Advertisementเมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้จบ สิ่งแรกที่นึกได้คือ อยากกินขนมโดรายากิที่ทำขึ้นด้วยใจจริง ๆ เลย มันน่าจะมีอยู่จริง ๆ ที่ญี่ปุ่น ซึ่งมานึกดูแล้ว เราก็ได้ไปถึงที่แต่ทำไมเราถึงไม่ได้นึกถึงมันเลยก็ไม่รู้ อาจเป็นเพราะขนมที่ญี่ปุ่นมีมากมายจนหลงลืมเจ้าขนมชนิดนี้ไปได้ บางทีการที่ได้อ่านหนังสือสักเล่ม ก็ทำให้เราได้ย้อนหรือทบทวนความรู้สึกที่เคยซ่อนอยู่ลึก ๆ ในหัวใจ ให้ออกมารู้สึกถึงมันอีกครั้ง เหมือนได้ปลุกอะไรบางอย่าง โดยสิ่งนั้นก็คือ “เด็กน้อยคนหนึ่ง” ที่ตื่นเต้นและสนุกสนานไปกับทุก ๆ เรื่องที่ผ่านเข้ามาให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และขนมโดรายากิที่ว่ามันคือขนมญี่ปุ่นที่นำเอาแป้งแพนเค้กเนื้อนุ่มสองแผ่นมาประกบกับไส้ซึ่งทำมาจากถั่วแดงกวนอันแสนหอมละมุน เรียกได้ว่าเป็นขนมลูกครึ่งตะวันตกและตะวันออกชนิดหนึ่งเลยก็ว่าได้
มาด้วยเรื่องหนังสือกัน โดรายากิขนมนี้ทำด้วยใจ เป็นนิยายแปลของญี่ปุ่นที่มีหน้าปกสะดุดตาเล่มหนึ่ง จนทำให้ฉันหยิบขึ้นมาดูจากชั้นวางในร้านขายหนังสือ โดยผู้เขียนคือคุณ Durian Sukegawa จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Maxx Publishing ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์ที่มักนำเอาหนังสือที่ขายดีจนสร้างเป็นภาพยนตร์มาแปลให้เราได้อ่านกันเรื่องนี้ก็เช่นกัน
เรื่องนี้ผู้เขียนจะพาเราไปทำความรู้จักขนมโดรายากิ ผ่านผู้จัดการร้าน คือคุณเซ็นทาโร่ ชายผู้ที่สิ้นหวังกับการใช้ชีวิตโดยทำขนมโดรายากิแบบขอไปทีเพื่อให้ผ่านวันเวลาที่แสนไร้คุณค่า จนวันหนึ่งมีหญิงชรานามว่า โทคุเอะ เข้ามาสมัครงานเป็นพนักงานของร้าน และเธอได้ปลุกโลกที่แสนไร้ค่าของเขาให้ตื่นขึ้นทำให้เขาอยากที่จะกลับมาใช้ชีวิตอีกครั้ง และยังมี วาคานะ เด็กสาวมัธยม (คนที่ยื่นอยู่บนปกนั่นแหละ) ที่เป็นลูกค้าประจำของร้านและคอยเชื่อมให้ช่องว่างระหว่าง เซ็นทาโร่และโทคุเอะใกล้กันมากขึ้น
หนังสือเล่มนี้ก็เหมือนกับสไตล์หนังสือแปลญี่ปุ่น คืออ่านได้เรื่อย ๆ แต่เล่มนี้กลับทำให้ฉันอ่านจบภายใน 2 คืน (282 หน้า) แรกจะอืด ๆ สักหน่อย ต้นเรื่องจะพูดถึงการทำขนมโดรายากิ (อ่านไปก็หิวไป) มาพีคตอนเรื่องค่อย ๆ คลี่คลายว่าทำไมคุณเซ็นทาโร่ถึงใช้ชีวิตแบบนั้น และอะไรคือสาเหตุให้คุณยายโทคุเอะถึงมีสภาพร่างกายแบบนั้น เอาจริง ๆ ทำให้ลืมเรื่องโดรายากิไปเลย กลายเป็นดราม่าซะงั้น T_T เรื่องนี้ทำให้ฉันรู้จักคำว่า “อิสรภาพ” ในอีกมุมหนึ่งของคนที่เคยใช้ชีวิตไร้สิ้นอิสรภาพว่าความหมายที่แท้จริงของคำ ๆ นี้คืออะไร มันเป็นหนังสือที่เหมาะมากสำหรับคนที่กำลังรู้สึกสิ้นหวัง และคิดว่าตัวเองอยู่อย่างไร้ค่าใช้ชีวิตไปวัน ๆ เมื่ออ่านจบคุณอาจจะอยากลุกขึ้นมาทำอะไรที่ทำด้วยใจ ซึ่งแม้ผลจะเป็นอย่างไรมีแต่เราเท่านั้นที่รู้คำตอบ ว่าแล้วก็ไปหาขนมโดรายากิมากินแกล้มกาแฟกันเถอะ ^ ^